วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ตายแล้วเกิดอีกหรือไม่

ปุจฉา: ตายแล้วเกิดอีกหรือไม่?

วิสัจฉนา: ความเกิดนั้นเป็นผลที่เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย การพูดตรงๆไปว่าตายแล้วเกิด ท่านจัดเป็น สัสสตทิฏฐิ คือความเห็นว่าโลกเที่ยง แต่หากปฏิเสธว่าตายแล้วไม่เกิดอีกหรอกท่านก็บอกว่าเป็น อุจเฉททิฎฐ คือความเห็นว่าขาดสูญ เรื่องนี้จึงจำต้องหาจุดกลางให้ได้ ว่าพระพุทธศาสนาได้แสดงเรื่องนี้ไว้ในรูปของเหตุปัจจัยที่อาศัยประชุมพร้อมกันแล้วการเกิดก็มีขึ้น เช่น ในกรณีการถือปฏิสนธิในครรภ์ ท่านแสดงปัจจัยหลักไว้ว่า "มารดาบิดาร่วมกัน มารดามีระดู คนธรรพ์ถือปฏิสนธิ"

การเกิดก็ปรากฏขึ้น ในคำว่าคนธรรพ์นั้นชื่อแปลกออกไปจากที่อื่น คนธรรพ์เองก็เกิด
ขึ้นจากปัจจัย 3 ประการคือ
กมมํ เขตตํ กรรมดีกรรมชั่วเหมือนเนื้อนา วิญญาณํ พีชํ วิญญาณเป็นหน่อพืช ตณหา สิเนหํ ตัณหาเป็นยางเหนียว

ในเรื่องนี้ท่านแสดงแบบอุปมาด้วยเมล็ดพืชการจะตัดสินว่าเมล็ดพืชจะปลูกงอกหรือไม่นั้น ต้องอาศัย พื้นดิน หน่อ และยางเหนียวในเมล็ดพืชรวมกัน หากบกพร่องไปอย่างเดียวก็งอกไม่ได้ ฉันใดการบังเกิดของคน สัตว์ ก็ต้องอาศัยปัจจัย 3 ประการ คือกรรม กิเลส วิญญาณ ฉันนั้น

โดยนัยนี้จะพบว่าเมื่อเราเข้าไปจับกับหลักปฏิจจสมุปบาท กิเลสคืออวิชชา กรรมคือสังขาร วิญญาณก็คือปฏิสนธิวิญญาณ ในปฏิจจสมุปบาททรงแสดงแบบเป็นเหตุเป็นผลกันตามในปัจจัยหลักที่กล่าวข้างต้น คำว่า คนธพโพ คือ คนธรรพ์เป็นชื่อของกิเลส กรรม วิญญาณรวมกัน แต่เพราะกำเนิดนั้นไม่ได้มีเฉพาะเกิดในครรภ์อย่างเดียว

ปัจจัยที่สำคัญอันนำไปสู่การตัดสินว่าตายแล้วเกิดหรือไม่ คือ กิเลส กรรม วิญญาณ ปัจจัยทั้ง 3 นี้ขาดไปเพียงอย่างเดียวก็เกิดไม่ได้ คำตอบจึงยุติว่า หากปัจจัย 3 ประการนั้นมีอยู่ การเกิดก็ต้องมีอยู่ เมื่อปัจจัย 3 ประการนั้นหมดไปการเกิดก็ยุติ ผู้เกิดก็ไม่มี.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น