วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552

กรรมมีจริงหรือไม่

ปุจฉา: เรื่องกรรมมีจริงหรือไม่ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วจริง หรือไม่ ขอทราบเหตุผลว่าพระพุทธศาสนา แสดงเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไร?

วิสัจฉนา: เรื่องกรรม การให้ผลของกรรมตามสมควรแก่เหตุที่บุคคลได้กระทำลงไปนั้นเป็นเรื่องจริงๆอย่างที่ได้กล่าวมาส่วนหนึ่งแล้วในข้อก่อน
สำหรับในที่นี้จะพูดในส่วนที่เป็นการให้ผลของกรรมว่าเราจะสังเกตุได้อย่างไรเป็น การเพิ่มเติมจากปัญหาข้อก่อน

แต่อย่าลืมว่ากรรมมีความสลับซับซ้อนอยู่มากพระพุทธเจ้าทรงจำแนกในแง่การให้ผลของกรรมเพื่อเป็นหลักในการกำหนดพิจารณาเชื่อมโยงให้เห็นว่าอะไรเป็นผลของอะไรเรียกว่า มหากัมมวิภังคสูตรคือสูตรที่ทรงจำแนกกรรมขนาดใหญ่แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

  1. พฤติกรรมของคนที่เป็นไปตามคัลลองแห่งกุศลธรรมแต่ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนในชาตินี้ และบังเกิดในทุคติหลังจากตายไปแล้วก็มี
  2. พฤติกรรมของบุคคล ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันว่าเป็นคนทำทุจริตแต่ได้รับความสุขความเจริญในชาติปัจจุบันและบังเกิดในสุคติหลังจากตายไปแล้วก็มี
  3. พฤติกรรมของคนบางคนปรากฎให้เห็นในปัจจุบันว่าประกอบด้วยสุจริตธรรมด้วยได้รับความสุขในชีวิตปัจจุบันและตายไปเกิดในสุคติด้วยก็มี
  4. พฤติกรรมของคนบางคนปรากฎให้เห็นในปัจจุบันว่าเป็นผู้ทำทุจริตด้วยได้รับความทุกข์ในชาติปัจจุบันและตายไปบังเกิดในทุคติด้วยก็มี

จากหัวข้อใหญ่ๆ 4 หัวข้อนี้ จะพบว่า 1-2 ฟังดูออกจะสับสนเพราะดูเหมือนจะขัดแย้งกันจนถึงกับมีคนกล่าวว่า "ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป" เป็นต้น

ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่เข้าใจนัยแห่งมหากัมมวิภังคสูตรการที่มองตามตัวอักษรเห็นว่าสับสนนั้นอันที่จริงหาสับสนไม่ การที่คนสองประเภทแรกได้รับผลตรงกันข้ามกับกรรมในปัจจุบันของตน เป็นเพราะอกุศลกรรมและกุศลกรรมในอดีตมามีอิทธิพลเหนือชีวิตของเขา

กรรมที่ปรากฎในปัจจุบันจึงไม่อาจให้ผลได้ต้องยกยอดไปให้ผลในโอกาสต่อไป ส่วนสองประเภทหลังให้ผลแบบตรงตัวแต่ทั้งสี่ประเภทนั้นยังคงอยู่ในหลักการที่ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" อยู่นั่นเองข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ความว่า

  • เป็นไปไม่ได้ที่คนผู้กระทำความชั่วแล้วจะได้รับผลเป็นความสุขความเจริญเพราะการกระทำความชั่วนั้นเป็นเหตุให้เกิดขึ้น
  • เป็นไปไม่ได้ที่คนซึ่งกระทำความดีแล้วจะได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน เพราะการกระทำความดีของตนเป็นเหตุ

หากใครประสบกับผลที่มีลักษณะขัดแย้งกับเหตุที่ตนกระทำในปัจจุบันพึงรู้เถิดว่าผลนั้นจะต้องเกิดมาจากเหตุในอดีตอย่างใดอย่างหนึ่งตามสมควรแก่ผลที่ปรากฎ อันที่จริงการให้ผลแห่งกรรมนั้นเป็นการให้ผลตามลำดับที่บุคคลอาจกำหนดสังเกตุได้ เช่นบุคคลปลูกมะพร้าวสักต้นหนึ่งผลจะเกิดตามลำดับดังนี้

  1. อันดับแรก ได้ต้นมะพร้าวเป็นสมบัติหนึ่งต้น
  2. อันดับสอง เมื่อเวลาผ่านไปด้วยการเอาใจใส่ รดน้ำ พรวนดิน มะพร้าวก็ออกลูก
  3. อันดับสาม ลูกของมะพร้าวที่ออกมานั้นย่อมให้ผลไปตามลำดับจากอ่อนถึงสุก
  4. อันดับสี่ เมื่อเรานำผลไปขาย หรือปรุงอาหาร ก็ได้รับประโยชน์จากมะพร้าวนั้นและผลของมะพร้าวนั้นจะตามให้ผลแก่คนซ้ำซ้อนหมุนเวียนไปเรื่อยๆ แม้ในเรื่องอื่นๆก็ทำนองเดียวกัน ขอเพียงใช้ความสังเกตพิจารณาก็จะเห็นได้ไม่ยากนัก

อีกประการหนึ่งที่ท่านถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญอันจะทำให้กรรมสามารถแสดงผลเต็มที่ทั้งในด้านดีและไม่ดีคือ

  • กาล หมายถึงยุคสมัยที่ผู้ปกครองหัวหน้าเป็นต้นลักษณะส่งเสริมให้ผลกรรมปรากฎได้ชัดเจน เช่น มีผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นคนดี ถือว่าเป็นกาลสมบัติ
  • คติ หมายเอาภพ กำเนิด สถานที่ที่ตนอยู่อาศัยเกิดอำนวยให้กรรมให้ผลได้เติมที่
  • อุปธิ คือเรื่องสุขภาพพลานามัย ความสมบูรณ์ บกพร่องแห่งอวัยวะร่างกาย
  • ปโยคะ คือการกระทำในปัจจุบันมีแนวโน้มไปในทางสนับสนุนให้กรรมแสดงผลได้เต็มที่หรือไม่

ทั้ง 4 ประการนี้ท่านจัดเป็นสมบัติคือสมบูรณ์ วิบัติคือบกพร่องไปในด้านกุศลกรรม หากทั้ง4ประการนี้สมบูรณ์ ผลกรรมก็ปรากฎได้อย่างเด่นชัด อย่างที่เรียกกันว่า "บุญมาวาสนาช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก"

หากองค์ประกอบ 4 ประการนี้บกพร่องไป กรรมทั้งสองฝ่ายก็ให้ผลเต็มที่ไม่ได้แต่ที่แน่นอนที่สุดคือคนเราทำกรรมอันใดไว้ก็ตามไม่ว่าจะดีหรือชั่วจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ให้ใช้สติปัญญาระลึกพิจารณาให้ดี ก็จะเห็นได้สำคัญอย่าหลงประเด็นก็แล้วกัน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น