วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552

นรก สวรรค์มีจริงหรือ

ปุจฉา: นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของนักเผยแผ่หรือ?

วิสัจฉนา: เรื่องนรกสวรรค์เป็นเรื่องที่ท่านได้บรรลุญาณที่เรียกว่า จุตูปปาตญาณคือญาณที่ทำให้ทราบการเกิดความแตกต่างของสัตว์ทั้งหลาย ว่ามีได้เพราะอะไร ท่านเห็นความมีอยู่ของนรกสวรรค์ด้วย ทิพพจักขุ คือตาทิพย์ซึ่งความรู้เหล่านี้จะเกิดขึ้นก็ต้องได้อภิญญา ซึ่งแปลว่าความรู้อันยิ่ง ไม่ใช่วิสัยของคนธรรมดาจะรู้ได้เหมือนกับการรับภาพในอากาศ

การฟังเสียงจากที่ไกลเป็นวิสัยของเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุตามลำดับปัจจุบันใครๆไม่อาจปฎิเสธว่าในบรรยากาศมีเสียงกล่าวถึงเรื่องต่างๆจากภายในประเทศบ้าง ภายนอกประเทศบ้าง แต่ถ้าเขาไม่มีวิทยุเขาก็ไม่อาจจะทราบเสียงนั้นได้เมื่อต้องการจะทราบฉันใดเรื่องนรกสวรรค์ก็มีลักษณะฉันนั้น

การถกเถียงในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องของคนที่ถกเถียงรสว่าอร่อยไม่อร่อยด้วยหูแทนที่จะพิสูจน์ด้วยลิ้น ซึ่งเถียงกันอย่างไรก็ได้ แต่หาข้อยุติไม่ได้เรื่องนรกสวรรค์ก็เหมือนกัน การรู้ การเห็นนรกสวรรค์เป็นวิสัยของญาณและทิพย์จักษุ เมื่อไม่มีเครื่องมือสองประเภทนี้ ก็ต้องเถียงกันด้วยโวหารที่ไม่มีทางจบสิ้นเป็นการเสียเวลาโดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

ที่สำคัญคือเรื่องนรกสวรรค์เป็นเรื่องของผลแห่งกรรมอันถือว่าเป็น อจินไตย คือไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิดเอาแต่จะทราบได้ด้วยการลงมือปฎิบัติเหมือนการทราบชัดรสอาหารด้วยการบริโภคฉะนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้เราควรจับหลักอะไร? ก็ต้องอาศัยตถาคตโพธิสัทธาคือ เชื่อพระปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพราะเรื่องนี้ พระองค์ทรงรู้ เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วหาได้รู้เมื่อยังครองเรือนอยู่ไม่

พระพุทธเจ้านั้นทรงมีหลักในการสอนธรรม ๓ ประการข้อที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ "ทรงแสดงธรรมเพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในสิ่งที่เขาควรรู้ควรเห็น" ในเรื่องที่ทรงแสดงนั้นมีเรื่องนรกสวรรค์อยู่ด้วย แสดงว่าเรื่องนี้ควรรู้ควรเห็น เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้นั้นมีมากมายสุดจะนับจะประมาณได้ แต่ข้อที่นำมาสั่งสอนนั้น อุปมาเหมือนใบไม้กำมือเดียวจากใบไม้ในป่าเท่านั้น และในใบไม้กำมือเดียวนั้นมีเรื่องนรกสวรรค์รวมอยู่ด้วย เรื่องเหล่านี้ปรากฎในคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งชั้นบาลีอรรถกถาและตำรารุ่นหลังเป็นอันมาก จนคนผู้ทราบประมาณแห่งความรู้ตนไม่อาจปฎิเสธได้

"อาจจะมีปัญหาว่าการเชื่อถือในลักษณะนี้จะไม่เป็นการเชื่อเพราะอ้างตำราหรือ? เพราะในกาลามสูตรห้ามมิให้เชื่อโดยอ้างตำรา มิใช่หรือ?" ปัญหาก็จะติดตามมาว่าก็กาลามสูตรเองเล่ามิใช่เป็นตำราด้วยหรือ เมื่อเป็นตำราแม้กาลามสูตรเองต้องเชื่อไม่ได้ด้วยนะซิ ในที่สุดก็จะเกิดปัญหาวัวพันหลักขึ้นมา


ในชั้นนี้ขอให้ข้อสังเกตเพียงว่าแหล่งแห่งความเชื่อของคนเรานั้นอาจจำแนกได้ดังนี้

  1. ประจักษ์ประมาณคือ เชื่อเพราะได้เห็น ได้ยิน ได้สูดดม ได้ลิ้ม ได้จับต้อง ได้รู้ด้วยตนเอง แล้วจึงเกิดความเชื่อขึ้นมา
  2. อนุมานประมาณ รู้ด้วยการอนุมาน คือการคาดคะเนเอาว่าเมื่อเป็นอย่างนี้
    ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เช่นเราเคยเห็นควันเกิดจากไฟ ต่อมาเห็นเฉพาะควันไม่เห็นไฟ
    ก็อนุมานได้ว่าที่ตรงนั้นต้องมีไฟ เพราะที่ใดมีควันที่นั้นมีไฟ
  3. ศัพท์ประมาณคือ การศึกษาจากหลักฐานต่างๆ เช่น ตำรา โบราณคดี เป็นต้น

ให้สังเกตว่าแหล่งแห่งความเชื่อเหล่านี้ไม่ใช่ข้อยุติว่าจะต้องถูกต้องเสมอไปจำเป็นจะต้องใช้ปัญญาเช้าพิจารณาเสียก่อนทั้งนั้น ตามที่ท่านแสดงว่าบุคคลไม่เชื่อด้วยเหตุผล 10 ประการ ซึ่งมักจะแผยแพร่กันแบบไม่ตลอดสายอยู่เสมอนั้นพระพุทธเจ้าทรงมุ่งไปที่ประเด็นว่า "ไม่ควรเชื่อเพียงเพราะเป็นตำรา" แต่โดยหลักปฎิบัติแล้วให้นำเอาแหล่งแห่งความรู้เหล่านั้นเองไปพินิจพิจารณาด้วยเหตุผลสติปัญญาจึงจะเชื่อในเรื่องนั้นๆ

สำหรับบางคนที่อ้างว่าตนไม่รู้ไม่เห็นตนไม่เชื่อนั้น นอกจากเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้อที่ไม่ควรลืมว่าการที่บุคคลยอมรับว่าท่านผู้นั้นเป็นพ่อเป็นแม่ของตนเป็นต้นนั้นไม่ได้เชื่อเพราะเห็นเป็นต้น แต่เชื่อเพราะท่านบอกและคนอื่นบอกว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้กับตนและตนอนุมานเอาจากพฤติกรรมที่ท่านแสดงวิญญาณของแม่เท่านั้นเพราะอะไร? "เพราะว่าเราไม่ได้รู้เห็นตอนที่ท่านเกิดเรามาด้วยสายตาของเราเองจึงต้องเชื่อด้วยวิธีที่สองและสาม"

เรื่องนรกสวรรค์จึงเป็นเหมือนคนที่เคยขึ้นไปยอดเขาหิมาลัยมาเล่าถึงความสวยงามของภูเขาและทิวทัศน์ที่ตนได้เห็นมาบนภูเขาหิมาลัยผู้ฟังทำได้สองประการ คือเชื่อตามที่เขาบอกให้ทราบเพราะเขาไปรู้เห็นมาด้วยตนเองขึ้นไปดูภูเขาในจุดที่เขาบอกว่าเขาเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ "หากปฏิเสธไปเลยว่าเขาโกหกได้ไหม?" "ไม่ได้หรอก" ทำอย่างนี้ก็เสียเชิงวิทยาศาสตร์แย่นะซีเพราะนักวิทยาศาสตร์นั้นเขามีหลักสำคัญอยู่ว่า "จะไม่ยืนยันหรือปฏิเสธอะไรในเรื่องที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทดสอบ" แต่การพิสูจน์ทดสอบอะไรก็ตาม ต้องพิสูจน์ด้วยเครื่องมือและกรรมวิธีเฉพาะเรื่องนั้นๆไม่ใช่จะเอากล้องจุลทัศน์ดูไปเสียทุกเรื่อง

อย่างไรก็ตามเรื่องนรกสวรรค์นั้นเท่าที่พบมาทรงมีวิธีแสดงหลายวิธีคือ

  1. แสดงถึงภพหรือภูมิ ที่คนสัตว์จะต้องไปเกิดตามสมควรแก่กรรมของตน เรียกว่า ปรโลก คือโลกอื่น ตรงกันข้ามกับโลกนี้ที่เรียกว่า อิธโลก
  2. แสดงในรูปของกรรมที่บุคคลกระทำแล้วจะนำให้เขาอุบัติในคติภพนั้นๆเช่น ทรงแสดงอานิสงส์ คือผลอันเกิดขึ้นจากการกระทำความดีมีการให้ทาน รักษาศีล มีศรัทธา เมตตา เป็นต้นจะจบลงด้วยคำว่าตายแล้วไปบังเกิดในสุคติหรือทุคติ หากกระทำตรงกันข้ามหรืออย่างที่รับสั่งปรารภ คน ๔ คนผู้มีการกระทำแตกต่างกัน ได้ตายไปว่า คพภเมเก อุปปชชนติ นิรยํ ปาปกมโน สคคํ สุคติโน ยนติ ปรินิพพนติ อนาสวา คนทั้งหลายบางพวกย่อมเกิดในครรภ์ ผู้มีบาปกรรมย่อมเข้าถึงนรก ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่งสุคติย่อมไปสวรรค์ ท่านผู้ไม่มีอาสวะย่อมปริพพาน
  3. ทรงแสดงในรูปของธรรมอันเป็นเหตุให้คนไปบังเกิดในนรกและสวรรค์ เช่น น หิ ธมโม อธมโม จ อุโภ สมวิปากิโน อธมโม นิรยํ เนติ ธมโม ปาเปติ สุคตํ
    ธรรมและอธรรมทั้งสอง หามีวิบากเสมอกันไม่ อธรรมนำไปสู่นรกธรรมยังบุคคลให้ถึงสุคติ
  4. ทรงแสดงในรูปของสรรค์ที่บุคคลจะประสบด้วยการกระทำของตนในปัจจุบัน
    เช่นมีฐานะร่ำรวยอยู่เย็นเป็นสุขเป็นสวรรค์ ทำผิดติดคุกประสบความเดือดร้อนเป็นนรก
  5. แสดงในรูปของการเป็นเทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต ด้วยการการปฏิบัติตามธรรมและอธรรม เช่นเป็นเทวดาเพราะมีหิริ โอตตัปปะ เป็นพรหมเพราะมีพรหม วิหารเป็นต้น
  6. แสดงในรูปของความรู้สึกในด้านจิตใจโดยเฉพาะ เช่นสุขกายสบายใจเป็นสวรรค์กลัดกลุ้มเดือดร้อนใจเป็นนรก

สำหรับคนที่ไม่สมัครใจที่จะเชื่อจะด้วยเหตุผลอย่างไรก็ตามให้ยึดหลักการทำความดีเอาไว้คือ

  • หากสวรรค์นรกไม่มีอยู่จริง ตนก็อยู่อย่างไม่มีเวรมีภัยในปัจจุบัน
  • หากสวรรค์นรกมีเมื่อตายไปก็จะได้บังเกิดในสวรรค์
  • หากทำความชั่วแล้วแม้ว่าจะไม่มีนรกสวรรค์ตนก็ได้รับความเดือดร้อนที่เห็นในปัจจุบันตายไป
  • หากนรกสวรรค์มีก็ต้องตกนรก

การทำความดีในปัจจุบันอย่างน้อยที่สุดจะได้รับความสุขในโลกนี้ เมื่อมีนรกสวรรค์ในโลกหน้าก็จะได้บังเกิดในสวรรค์อีกเป็นการได้ถึงสองชาติ แต่ผู้ทำความชั่วกลับตรงกันข้ามคือต้องเดือดร้อนในโลกนี้เป็นอย่างน้อย หากนรกสวรรค์เกิดมีเข้าก็เดือดร้อนทั้งสองโลก

วิธีการแสดงเรื่องนรกสวรรค์ตามที่กล่าวมานี้จะพบว่าผลจะออกมาในลักษณะเดียวกัน ใครจะเชื่อในระดับใดก็ตาม หากต้องการความสุขก็ต้องทำดีหนีความชั่ว ผลจะเกิดขึ้นให้พิสูจน์ได้ทั้งในปัจจุบันและด้วยญาณของท่านผู้รู้ ให้สังเกตว่าการตกนรกหรือขึ้นสวรรค์นั้นเป็นการใช้คำว่า ตก และขึ้น แห่งระดับจิตของบุคคลคือยกจิตจากกระแสอธรรม และขึ้นสู่กระแสธรรม เมื่อจับจุดนี้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์หรือถกเถียงกันให้เสียเวลา เพราะถึงจุดหนึ่งแล้วตนจะรู้เองขอเพียงยึดมั่นในการยกระดับจิตของตนให้สูงไว้ก็พอแล้ว

การจะทราบชัดในเรื่องนี้ได้จริงๆนั้นนอกจากทราบด้วย "ญาณ"ดังกล่าวแล้วอีกวิธีหนึ่งคือ "จะทราบชัดด้วยตนเอง เมื่อตนตายไปแล้ว" การรอคอยพิสูจน์วิธีนี้หากทำความดีไว้ก็ไม่เสียหายแต่ถ้าทำความชั่วมากๆก็ออกจะเสี่ยงเอาการทีเดียวทางที่ดีแล้วคือ "เพียรพยายามสร้างความดีในปัจจุบันให้มากๆไว้เป็นการปลอดภัยที่สุด"

สำหรับประเด็นที่ว่า "ไม่ใช่เป็นเครื่องมือนักเผยแผ่หรือ" นั้น ออกจะเป็นการกล่าวหาที่ไร้เหตุผลเอามากที่เดียว "ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนั้น?" เพราะว่าเรื่องนรกสวรรค์นี้เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านรู้เห็นด้วยญาณและได้แสดงแก่ชนทั้งหลาย

ในฐานะที่เป็นเรื่องควรรู้ควรเห็นประการหนึ่ง พระพุทธเจ้านั้นทรงแสดงเรื่องนี้ด้วยพระมหากรุณาแก่สัตว์โลกพระทัยที่เต็มเปี่ยมด้วยพระบริสุทธิคุณไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของพระองค์ แต่ทรงทำเพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่สรรพสัตว์ พระอรหันต์ทั้งหลายก็มีนัยเดียวกัน

พระสงฆ์ที่ทำงานเผยแผ่นั้นท่านไม่มีความรู้อะไรเป็นส่วนตัวของท่าน แต่ท่านรู้เพราะการได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านทำงานไปตามหน้าที่ของท่านที่กำหนดไว้ว่า "พระสงฆ์คือหมู่ชนที่ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและสอนบุคคลอื่นให้ปฏิบัติตามด้วย"

หากจะถามว่าปฏิบัติตามซึ่งอะไร? คำตอบคือปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เวลาพระเทศน์ทุกครั้งจึงมีคำว่า "บัดนี้จะแสดงพระธรรมเทศนาพรรณนาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า" ก่อนทุกครั้งเพื่อบอกให้ทราบว่าที่กล่าวต่อไปนี้ไม่ใช่คำสอนของท่านนะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าพระสงฆ์จึงทำหน้าที่เป็นเหมือนราชทูตอ่านพระสาส์น และในการสอนนี้เองมีหน้าที่ซึ่งกำหนดไว้ว่าเป็นหน้าที่ของพระคือ "บอกทางสวรรค์ให้แก่ชาวบ้าน" ที่ว่าเป็นเครื่องมือจึงไม่ทราบว่าเป็นเครื่องมือในทางแสวงหาผลประโยชน์จากอะไรเพราะถ้าเรื่องนี้นักเผยแผ่สร้างขึ้นมาเอง

นักเผยแผ่ก็กล่าวมุสาอันเป็นเหตุอย่างหนึ่งให้ตนตกนรกนักเผยแผ่ไม่กลัวนรกหรือ ? ที่ไม่ควรลืมคือเรื่องนรกสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่จะต้องรู้ได้ชัดด้วย จุตูปปาตญาณ หรือทิพยจักษุ

การอธิบายเรื่องนรกสวรรค์ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายๆ ใครจะเอาเรื่องอธิบายยากมาสอนให้ลำบากเล่า ในเมื่อเรื่องง่ายๆมีมากมายก่ายกองอธิบายเรื่องนั้นๆไม่ดีกว่าหรือ ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น