วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

พระอรหันต์มีจริงหรือไม่

ปุจฉา: พระอรหันต์มีจริงหรือไม่ บางคนเข้าใจว่าเป็นเรื่องปั้นขึ้นเพื่อให้คนเห็นเป็นอัศจรรย์แล้วเลื่อมใสในศาสนา?

วิสัจฉนา: อ้าวทำไมพูดอย่างนั้นละ? การพูดเช่นนี้ออกไม่ค่อยดีนัก สำหรับคนที่ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกเพราะว่าพระอรหันต์เป็นบุคคลที่บรรลุผลสูงสุดในพระพุทธศาสนามีตัวอย่างบุคคลผู้ใด้บรรลุในระดับนี้ให้รู้ให้เห็นกันในประเทศต่างๆ ไม่ใช่มีเฉพาะอินเดียประเทศเดียวเท่านั้น


การพูดในทำนองปฏิเสธจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ ข้อที่ปฏิเสธว่าไม่มีสมณะ พราหมณ์ ผู้ปฏิบัติชอบ อริยุปวาท คือการกล่าวตู่พระอริยเจ้าไม่เป็นมงคลเลยจริงๆ แต่เอาเถอะ เมื่ออ้างว่าเป็นคำกล่าวของคนอื่นจะได้ให้ข้อสังเกต เพื่อเป็นเครื่องพินิจพิจารณาด้วยการอาศัยสติปัญญาระดับธรรมดาๆก็จะเกิดความเข้าใจและยอมรับ

ความเป็นพระอรหันต์ท่านกำหนดกันด้วยอะไร?
ความเป็นพระอรหันต์นั้น ท่านกำหนดเอาที่ความเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจของผู้ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 ประการ จนสามารถละสังโยชน์คือกิเลสที่ผูกใจสัตว์ออกได้สิ้นเชิงคือ

  • ละความเห็นเป็นเหตุถือตัวถือตน
  • ความลังเลสงสัยในเรื่องต่างๆ
  • การถือเรื่องขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ อย่างขาดเหตุผล
  • ความกำหนัดรักใคร่ในรูปเสียงเป็นต้น
  • ความไม่พอใจกระทบกระทั่งทางใจ
  • ความหลงติดในรูปธรรมและรูปฌาน
  • ความยึดติดในนามธรรมและอรูปฌาน
  • ความถือตัวถือตนยกตนข่มท่าน
  • ความคิดพล่านขาดความสงบทางจิต
  • ความหลงงมงายไม่รู้จริง

ให้สังเกตว่าสังโยชน์เหล่านี้ แม้แต่คนธรรมดาความรู้สึกในลักษณะต่างๆที่กล่าวมานี้ไม่ได้ครอบงำบังคับจิตใจคนอยู่ตลอดเวลา คนธรรมดาๆจึงมีความรู้สึกเหล่านี้มากน้อยแตกต่างกัน เมื่อบุคคลเหล่านี้หันมาฝึกฝนจิตไปตามหลักที่ทรงแสดงไว้จะพบว่าท่านเหล่านั้นมีความรู้สึกเช่นนั้นเบาบางลง

ผิดจากสามัญชนลงไปมากซึ่งอาจสังเกตได้ทั้งจากนักบวชและชาวบ้านที่ปฏิบัติธรรม หากท่านปฏิบัติไปตามหลักการและวิธีการที่ทรงแสดงไว้จึงไม่น่าสงสัยว่าท่านจะละกิเลสเหล่านี้ให้หมดสิ้นไปไม่ได้

อีกประการหนึ่งหากว่ามรรคผลในพระพุทธศาสนาไม่มีอยู่จริงแล้ว นักปราชญ์ คณาจารย์ในสมัยพุทธกาลและสมัยต่อๆมาเป็นอันมาก คงไม่ยอมสละฐานะตำแหน่งของท่านมาบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาหรอก

ในสายตาของชาวบ้านนั้น ความมั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติตำแหน่ง ยศ เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาของทุกคน แต่ตามประวัติที่บันทึกไว้ในที่ต่างๆ ปรากฏว่าพระราชา เศรษฐีเป็นอันมาก ยอมสละความสุขในการปกครองเรือนเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา เขาจะสละทำไม หากไม่มีสิ่งทีดีกว่าสมบัติเหล่านั้น ?

พระอรหันต์เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติอย่างมีขั้นตอน ทรงแสดงไว้โดยละเอียดทั้งได้บอกผลที่คนจะพบเห็นได้ในระหว่างทางที่ก้าวเดินไป เพื่อความเป็นพระอรหันต์ คนที่ต้องการพิสูจน์จึงไม่ยากเย็นอะไรที่จะพิสูจน์ดูว่ามีจริงหรือไม่ "การปฏิเสธเรื่องอะไรก็ตามควรทำหลังจากตนที่ตนได้พิสูจน์ทดสอบตามกรรมวิธีที่
ท่านแสดงไว้เสียก่อน ไม่ใช่ทำแบบคนตาบอด
ปฏิเสธความมีอยู่ของสีต่างๆ โดยอาศัยเหตุเพียงตนไม่เห็นอย่างเดียวทำเช่นนั้นออกจะไร้เหตุผลมากไป"

จากอดีตกาลถึงปัจจุบัน คนระดับปัญญาชนในประเทศต่างๆได้สละความสุขส่วนตนเพื่อมุ่งผลที่เกิดจากความสงบจากกิเลส ไม่อาจจะนับจำนวนได้ หากท่านไม่ได้สัมผัสส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งความสงบบ้างแล้ว ท่านคงไม่ทรมานกายให้ได้รับความลำบากอยู่หรอก

พระอรหันต์นั้น พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระอรหันต์พระองค์แรกในพระศาสนานี้ การปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะอาสวะทั้งหลายที่พระอรหันต์ควรละได้ พระองค์ทรงละได้แล้ว ถือเป็นเวสารัชญาณคือพระญาณที่ทำให้พระองค์ทรงกล้าหาญปฏิญาณตนออกไปเช่นนั้นประการหนึ่ง

ในโลกนี้ไม่มีใครน่าเชื่อถือมากกว่าพระพุทธเจ้า หากไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่ทราบว่าควรจะเชื่อใครได้อีกแล้ว

พระพุทธศาสนานั้นไม่มีเหตุผลอันใดที่ต้องปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกคน หลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็น
เอหิปสสิโก คือ เชิญชวนให้มาพิสูจน์ทดสอบได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะโดยใคร? ที่ไหน? เมื่อไร? ย่อมพิสูจน์ได้เพราะว่าหลักธรรมนั้นเป็น อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาล คือ ไม่ถูกกำหนดด้วยกาลเวลาแต่ประการใด ขอเพียงแต่บุคคลได้โอปนยิโก น้อมนำพระธรรมมาปฏิบัติ โดยสมควรแก่ธรรมแล้ว เขาเหล่านั้นจะเข้าถึง
สนทิฏฐิโก คือ ประจักษ์ชัดซึ่งผลแห่งธรรมด้วยตนเอง เหมือนคนบริโภคอาหารแล้วรู้รสของอาหารด้วยตนเอง เพราะว่าพระธรรมนั้น เป็น ปจจตตํ เวทิตพโพ วิญญูหิ อันวิญญูชนจะรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น
ความมีอยู่ของพระอรหันต์บุคคลก็อาจจะยอมรับนับถือเชื่อโดยวิธีดังกล่าวแล้วเช่นกัน

1 ความคิดเห็น:

  1. ดีครับ จากการอ่านบทความมารู้สึกว่าผมชอบน่ะ

    ตอบลบ