วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ทำบาปไปแล้ว แต่มีสติสำนึกได้ตอนหลังจะมีความผิดไหม?

ปุจฉา: ถ้าหากว่าเราทราบว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี แต่บางครั้งเราทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อทำไปแล้วก็มีสติสำนึกได้จะมีความผิดไหม?

วิสัจฉนา: การกระทำทุกอย่างของคนนั้น ไม่ว่าจะทำด้วยความรู้สึกตัว หรือว่าทำไปโดยเผลอสติก็ตาม ถ้าหากว่าการกระทำอันนั้นเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเองคนอื่นหรือเบียดเบียนทั้งตนเองและคนอื่นแล้ว การกระทำอันนั้นย่อมถือว่าเป็นความผิดอยู่นั้นเอง บุคคลไม่อาจจะอ้างเอาความรู้ ความเผลอสติ หรือเหตุอย่างอื่นเป็นเครื่องอ้างได้ เพราะทำผิดก็ต้องเป็นความผิด และผลแห่งการทำผิดก็ต้องเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนตามธรรมดาของหลักเหตุผล

ดังได้เคยกล่าวมาแล้วว่า การกระทำถูกหรือผิดนั้นท่านวัดกันด้วย
  • วัตถุ คือสิ่งที่เรากระทำ
  • เจตนา คือความจงใจ ความตั้งใจที่จะทำการนั้นๆ
  • ประโยค คือความพยายาม ซึ่งอาจจะเป็นไปทางกาย วาจา ใจก็ได้

ความหนักเบาของผล ย่อมขึ้นอยู่กับความหนักเบาของเครื่องประกอบทั้งสามนั้นท่านกล่าวว่า “กตสสฺส นตฺถิ ปฏิการํ” สิ่งที่ทำแล้วทำคืนไม่ได้ ที่ดีก็ดีไปที่ชั่วก็ชั่วไป ทุกอย่างเป็นอดีตไปหมดแล้ว จะมีก็เพียงบาป-บุญ ที่จะติดตามบุคคลผู้นั้นไป เหมือนเงาติดตามคนไปฉะนั้น และบาปบุญอันนี้ก็รอคอยเหตุปัจจัยสนับสนุน หรือโอกาสที่จะให้ผล ก็ให้ผลไปตามกรรมที่บุคคลได้กระทำไว้

ส่วนการสำนึกได้ จัดเป็นความรู้สึกดีอีกช่วงหนึ่งคนละช่วงกับที่เป็นแรงกระตุ้นให้ทำผิด จึงจัดเป็นความดี สามารถสกัดกั้นบาปอกุศลไม่ให้เกิดในอนาคตได้ ถ้าหากว่าสำนึกผิดแล้ว ไม่กระทำความผิดเช่นนั้นหรือความผิดในลักษณะอื่นอีก แต่ถ้าสำนึกได้หลังจากทำผิด ต่อจากนั้นก็ทำผิดเหมือนเดิมก็หาช่วยให้อะไรดีขึ้นไม่ จะถือเป็นความดีก็เพียงเป็นจิตุปบาทอันหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยกุศล ได้เกิดขึ้นภายในจิต เพียงแวบเดียวแล้วดับไป แต่อย่างไรก็ตาม การทำผิดแล้วสำนึกว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นผิด ก็อาจจะกลับจิตของบุคคลผู้นั้นได้ ในระยะเวลาหนึ่ง เพราะว่าคนพาลที่สำนึกตนเองว่าเป็นพาล ย่อมมีโอกาสที่จะเป็นบัณฑิตได้ ดีกว่าคนพาลที่ถือตัวว่าเป็นบัณฑิต

----------------------------------------------------
พุทธภาษิต
คนพาลมีปัญญาทราม ทำกรรมชั่วอยู่ก็ไม่รู้สึกย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมของตนเหมือนถูกไฟไหม้
ผู้ใดแสวงหาสุขเพื่อตน ไม่เบียดเบียนสัตว์ ผู้ต้องการสุขด้วยอาชญา ผู้นั้นละ (ตาย)ไปแล้วย่อมได้สุข

ปัญหาเกี่ยวกับปรโลก สวรรค์ นรก

  • ทำไมยานอพอลโลขึ้นดวงจันทร์ตั้งหลายลำแล้วยังไม่เห็นสวรรค์สักที?
  • อ้าวแล้วใครบอกว่าสวรรค์อยู่บนดวงจันทร์เล่า?
  • เรื่องที่ตั้งของสวรรค์นี้ออกจะเป็นเรื่องน่าคิดและดูจะเป็นการยากสำหรับการพิสูจน์
    สวรรค์ด้วยวิชาการปัจจุบัน นอกจากการปฏิบัติทางจิต จนบรรลุถึงขั้นเห็นสวรรค์ ตามที่พระอริยเจ้าท่านบรรลุมาแล้วเท่าที่สังเกตมาในตำรา ที่กล่าวถึงเรื่องสวรรค์นั้น
  1. พระพุทธองค์จะทรงแสดงเรื่องสวรรค์ กับ พระอรหันต์ หรือพระอริยบุคคลชั้นต่ำลงมา ในการ
    สนทนานั้น ไม่มีการพูดว่าสวรรค์อยู่ตรงไหน เพราะคนฟังต่างก็ทราบอยู่แล้ว เหมือนคนกรุงเทพฯคุยกันเรื่องสนามหลวง หรืองานสนามหลวง จะไม่มีการพูดถึงว่าสนามหลวงอยู่ตรงไหน เพราะคนฟังต่างก็ทราบอยู่แล้ว เหมือนคนกรุงเทพฯ คุยกันเรื่องสนามหลวง หรืองานสนามหลวง จะไม่มีการพูดถึงว่าสนามหลวงอยู่ตรงไหน เพราะคนที่ฟังทราบที่ตั้งดีอยู่แล้ว จะพูดก็เฉพาะเหตุการณ์ในสนามหลวง ผู้ฟังดีอยู่แล้ว จะพูดก็เฉพาะเหตุการณ์ในสนามหลวง ผู้ฟังก็จะเข้าใจได้ทันทีฉันใด ก็ฉันนั้น

  1. ความมีอยู่ของสวรรค์ในลักษณะที่ซ้อน ๆกันขึ้นไป เหนือยอดเขาสิเนรุ และนรกอยู่ใต้เขาสิเนรุ
    ลงมาเรื่อย ๆน่าจะเป็นของพราหมณ์มากกว่าพุทธเพราะฟังดูสวรรค์คล้าย ๆ กับจานผีขนาดมหึมา ที่ลอยอยู่สูงขึ้นไปตามลำดับ
  2. เมื่อกล่าวถึงเทวดา พรหมบนสวรรค์ และพรหมโลก ทางพระพุทธศาสนาจะแสดงในแง่ที่เป็นอทิสสมานกาย คือมีกายละเอียด บุคคลไม่อาจจะเห็นเห็นด้วยสมาธิจิตและทิพยจักษุเท่านั้น เมื่อคิดกันตามหลักวิชา ทางศาสนาและปัจจุบันประกอบกัน อาจจะเป็นไปได้ว่า

  1. สวรรค์ที่เป็นชั้น ๆอย่างที่ท่านว่า อาจจะเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง บรรดาจักรดารกาจำนวนล้านๆดวงในหลาย ๆสุริยจักรวาล ซึ่งมีความหนาแน่นของอากาศทรัพยากรธรรมชาติ อาหาร และอื่นๆ แตกต่างจากโลกมนุษย์ แม้นรกก็ทำนองเดียวกัน แต่มีลักษณะตรงกันข้ามกับสวรรค์ ปัญหาที่น่าคิดในแง่นี้ก็คือเขาจะอยู่ได้อย่างไร? ข้อนี้เป็นกมฺมโยนิ สำเร็จด้วยกำเนิดของเขา เราไม่อาจจะเอามาตรฐานของมนุษย์ไปวัดได้ เหมือนปลามีกำเนิดในน้ำ เขาอยู่ในน้ำได้แต่คนอยู่ไม่ได้ เพราะกำเนิดผิดกัน
    เขามาโลกนี้ได้อย่างไร? นี้เป็นฤทธิ์หรือความสำเร็จโดยกำเนิดเช่นกัน เหมือนนกบินไปในอากาศได้ ถ้าสวรรค์นรก เป็นโลกอีกโลกหนึ่งโดยนัยนี้ การที่คนไปดวงจันทร์ หรือแม้ดาวอื่น ๆอีกสักสองสามพันดวง แล้วไม่พบสวรรค์ในที่นั้น ก็ไม่อาจจะปฏิเสธความมีอยู่ของสวรรค์ได้ เพราะมีข้อมูลมีไม่เพียงพอในเมื่อดาวมีมากเป็นล้าน ๆดวง และมีหลายระบบสุริยจักรวาลด้วยกัน
  2. สวรรค์เป็นโลกทิพย์ ซึ่งเป็นอีกมิติหนึ่งอาจจะเป็นโลกซ้อนโลกของเราอยู่ หรืออยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งคนไม่อาจจะเห็นได้โดยนัยที่กล่าวแล้ว ทั้งโลกและคนในโลกนั้น
    เท่าที่ศึกษาพบมา ปรากฏว่าเทวดาบางจำพวก เช่นพระภูมิเทวดา รุกขเทวดา อากาสเทวดา สมุท
    เทวดาเป็นต้น ก็อยู่ใกล้คนนี้เอง หากแต่ท่านเหล่านั้นมีกายไม่ปรากฏคนจึงไม่เห็น แต่ท่านเหล่านั้นสามารถเห็นเราได้ทุกอย่าง คนโบราณจึงกลัวนัก จะทำผิดอะไร หรือเรื่องที่ควรจะปฏิบัติในที่ลับ ก็ปฏิบัติในที่ลับ โดยเขาถือว่า“คนไม่เห็น ผีสางเทวดาเขาเห็น หรืออายผีสางเทวดากันบ้าง”
    คนทุกวันไม่เชื่อเรื่องนี้ เรื่องที่โบราณเขาถือใคร ๆ จึงไม่ค่อยถือกัน คงจะเล่นเอาเทวดาอายม้วนต้วนไปมากแล้วก็ได้

คนที่ต้องการพิสูจน์เรื่องนี้ จึงทำได้วิธีเดียวเท่านั้นคือการปฏิบัติไปตามที่ท่านสอนไว้ว่า เมื่อจิตสงบถึงขั้นนั้น ๆบุคคลอาจจะน้อมใจไปเพื่อเห็นเทวดา สวรรค์ก็ทำได้ ถ้าจิตถึงขั้นนั้นแล้วแต่ไม่ได้รับผลดังที่ท่านว่าจึงค่อยปฏิเสธ แต่ส่วนมากท่านที่บรรลุในขั้นนี้ ซึ่งปัจจุบันก็มีอยู่ไม่น้อย แต่ท่านก็ไม่พูด เพราะพูดไป ก็ไม่รู้เรื่องกัน ดีไม่ดีจะหาว่าท่านโกหกเสียอีก เรื่องนี้จึงเป็น “ปจฺจตฺตํ คือรู้เฉพาะตนอีกเรื่องหนึ่ง”
แต่สำหรับคนที่รู้เฉพาะตนมาแล้วด้วยกัน ย่อมพูดคุยกันได้ เหมือนพระพุทธเจ้าสนทนาเรื่องเทวดากับพระอริยบุคคล

อีกวิธีหนึ่ง ต้องรอให้ตายเสียก่อน วิธีนี้เห็นจะไม่ได้เรื่องเท่าไร บางคนตองการจะเห็นสวรรค์ อาจต้องหันไปนรก แต่จะเป็นนรกหรือสวรรค์ ท่านว่าเวลาต่างกับโลกนี้มาก กว่าจะมาเล่าอะไรได้ ลุกหลานในโลกนี้ตายไปหมดแล้ว เรื่องนี้จึงเป็นปัญหามาจนทุกวันนี้ และน่าจะเป็นปัญหาต่อไปเรื่อย ๆ

เดี๋ยวนี้ใครเชื่อเรื่องสวรรค์นรก เขาว่า เชย ครึ ล้าสมัย งมงาย พวกปราชญ์เหล่านั้น ตายไปคงได้บทพิสูจน์ว่าใครเชย ครึ งมงาย ล้าสมัยกันแน่ แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง จะขอโทษขอโพยกันหน่อย ก็คงจะสายเกินแก้แล้ว

ความอุ่นใจสำหรับคนที่สงสัยคือ “พยายามทำความดีด้วยกาย วาจา ใจ จนสุดความสามารถ ถึงจะไม่มีสวรรค์จริง ชาติปัจจุบันเราก็ไม่มีเวรมีภัยกับใคร อยู่เป็นปกติสุขดี”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น